คำที่ว่า "จิตใจที่แจ่มใส ย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง" นั้น
ย่อมเป็นความจริง...แต่ก็เป็นจริงแค่เพียงส่วนหนึ่ง
ตอนพ่อผมเข้าโรงพยาบาล(คนอื่นอาจจะมองว่าพ่อป่วย แต่พ่อไม่ได้มองอย่างนั้น)
พ่อผมต้องอยู่กับที่ บนเตียงพื้นที่1.5*2.5เมตร นานหลายวัน หลายเดือน
ใช่ร่างกายอันบอบช้ำที่กักขังไว้
แต่หากเป็นการไม่อยากให้ใครลำบากใจถ้ามาเห็นพ่อดื้อขัดคำสั่งหมอ
ก่อนพ่อเข้าร.พ.แม้ชราและป่วยยังคงตามหาความฝัน
ยังซ้อนสามมอเตอร์ไซกับผมและแม่พ่อไปดูบ้านเอื้ออาทร
หลังจากนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเกือย100วัน
ก็เหมือนกับว่าตอนนี้ พ่อของผม สติ เริ่มลดน้อยถอยลง
แต่ว่าความคิดอ่าน กลับยังยืนหยัด มั่นคงเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็น ตอนเป็นหนุ่ม...
ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแปลงไป...ทุกเมื่อ...
จากเกิด เป็นใหญ่ จากใหญ่ เป็นแก่ และตาย เป็นกฎแห่งธรรมชาติ...
แต่เมื่อเวลาแห่งวาระสุดท้ายจะมาเยือนจริงๆแล้ว คนที่เข้มแข็งที่สุดก็
อาจจะทนทำใจไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตอนอยู่ห้องไอ ซี ยู
หลังจากออกจากห้องผ่าตัด
ผู้ป่วยจะถูกนำตัวไปสังเกตุอาการที่ห้อง ไอ ซี ยู
ซึ่งจะเป็นห้องเล็กๆ เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์
ซึ่งคนส่วนน้อยจะได้ใช้เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง...และรับผู้ป่วยได้เพียงห้องละคน
ระหว่างผมกับแม่และน้องรอเข้าเยี่ยมพ่อที่หน้าห้อง
ได้แว่วข่าวจากบุรุษพยาบาลว่าคนไข้รายหนึ่งก็พึ่งเสียชีวิตไปในห้องนี้...
เป็นเวลาดึกแล้ว...
ภายในโรงพยาบาลเงียบสงัด...
กลิ่นยากรุ่นโชยฉุนจมูก...
ได้เวลา...เราเปิดเข้าไปในห้องนั้น พยาบาลปิดไฟให้พ่อพักผ่อน
พ่อยังไม่รู้สึกตัวจนสักพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น
ยังไม่ทันจะถามพ่อก็ทักว่า...
พึ่งมากันหรือ? ญาติๆเขากลับกันไปหมดแล้วนะ
เขามาเยี่ยมพ่อกันเยอะแยะไปหมด...คนนั้นก็มา...คนนู้นก็มา...พ่อก็ไล่ไปแต่จำชื่อไม่ค่อยได้
ที่พ่อกำลังไล่ชื่อไปนั่นแหละที่ทำให้พวกผมขนลุกแล้วมองหน้ากัน
เพราะญาติที่พ่อกำลังไล่ชื่อมาแต่ละคนก็ต่างลาจากโลกนี้ไปภพภูมิอื่นกันเกือบหมด
ที่ว่าเกือบหมดนี่แหละที่ทำให้เราใจชื้นขึ้นบ้างว่าคนยังอยู่ก็มาเยี่ยมพ่อเหมือนกัน
แต่ว่า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะญาติที่อยู่ต่างจังหวัดก็ไม่มีใครมาเยี่ยมพ่อสักคน
แล้วเราก็เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าเยี่ยมเสียด้วย...
เราได้แต่บอกกับพ่อว่าพ่อคงจะฝันไปนะครับ
นี่แหละครับ...เรื่องของกายกับจิต...จะแยกออกจากกันได้ก็แสนจะยากเหลือเกินเพราะมันผูกพันกันมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดเสียอีก