ยินดีที่ได้มีส่วนร่วมแบ่งปัน...คนเรายิ่งอยากได้ก็เหมือนยิ่งขาด ต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่ขาดมาเติมเต็ม แต่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม...ในทางกลับกัน...ยิ่งเราให้ก็ยิ่งเหมือนได้รับ...สังคมแห่งการแบ่งปันจะยิ่งเพิ่มพูนด้วยความสุขความเจริญ

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การต่อชะตาสะเดาะเคราห์

คุณเชื่อในกรรมหรือไม่?
พุทธศาสนาสอนเรื่องกฎแห่งกรรม...
กฎ คือสิ่งที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า อะไรคืออะไร
กฎแห่งกรรมคือ คุณทำอะไรไว้สิ่งนั้นก็จะติดตามตัวคุณไปตลอด(ในรูปแบบพลังงานอย่างหนึ่ง)จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องชดใช้

ทำกรรมดีสิ่งที่จะตามมานั้น เป็นสิ่งดีเรียกว่าบุญ
       
ทำกรรมชั่วสิ่งที่จะตามมานั้น เป็นสิ่งไม่ดีเรียกว่าบาป

ก็เหมือนกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ซึ่งหากคุณถ่มน้ำลายรดฟ้า น้ำลายของคุณย่อมที่จะตกลงมาบนหัวคุณแน่นอน(นอกจากคุณจะหลบทัน)
          ก้อนหินที่คุณโยนลงน้ำย่อมกระเพื่อมแรงตามขนาดของก้อนหินเช่นกัน...
โยนก้อนหินใหญ่ลงน้ำ แต่จะให้น้ำกระเพื่อมเพียงลมปากเป่าก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน

          ต่อชะตา-สะเดาะเคราะห์ล้างกรรม
เราทำกรรมใหญ่เอาไว้ เช่นชาติก่อนเราเคยไปตัดรอนชีวิตเขา ทำให้เขาเสียชีวิตที่ๆควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสี่สาห้าสิบปี...กว่าจะได้เกิดอีกก็ต้องจมอยู่ในภพภูมิแห่งความเคียดแค้น พยาบาท ฝังจิตฝังใจเพราะตายด้วยความทรมาน และ ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ทำใจ...อยู่นานนับเป็นกัปเป็นกัลป์ เท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อมีโอกาสแล้วคุณจะขอให้เขาอโหสิกรรมให้โดยง่ายนั้นจะทำได้จริงๆเหรอ
          ความเป็นจริงแล้วเขายังจะคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกนับเท่าทวีคูณเป็นดอกทบต้นน่าจะเป็นเรื่องที่จริงกว่าไม่ใช่หรอกหรือ
          ผมไม่เข้าใจว่าการสะเดาะเคราะห์ นั้นเขาทำกันอย่างไร ใช้หลักวิชาอะไร หรือถือเคล็ดลับอะไรมาแก้วิบากแห่งกรรม หรือกฎแห่งกรรม กฎซึ่งพระพุทธองค์ก็ยังคงหลีกหนีไม่พ้นดังคำสอนก่อนดับขันปรินิพพานว่า เราก็หนีไม่พ้นซึ่งกรรม
          แม้พระอัครคสาวกเบื้องขวาซึ่งได้ชื่อว่าเป็น เอกทัตฆะ(มีความเป็นเลิศ)ด้านการแสดงฤทธิ์เดช พระนามว่าพระโมคฆัลลานะ ยังคงต้องยอมรับทุกขเวทนาจากกรรมในวาระสุดท้ายของชีวิต โดยโดนเขามาทุบตีจนกระดูกแหลกละเอียด เพื่อจะได้ชดใช้กรรมให้หมดก่อนที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ก่อนดับขันท่านใช้อิทฤทธิ์ครั้งสุดท้ายต่อกระดูกตนเอง เพื่อเดินทางไปกราบททูลลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุให้เกิดพระคาถาบทหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า พระโมคฆัลลาต่อกระดูก นั่นเอง

คุณเชื่อในกรรมหรือไม่?
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกฎแห่งกรรม และ...พระพุทธศาสนาสอนในเรื่องของสติ ปํญญา

          หากเรื่องการทำพิธีดังกล่าว(ซึ่งไม่ได้กล่าวอ้างโดยเจาะจงถึงสถานที่ใด)
หากจะใช้สติไตร่ตรองดูก็อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างในส่วนของจิตใจ โดยผู้เข้าร่วมพิธีคิดโดยมีจิตตั้งมั่นอยู่ในกุศลอยากทำบุญเป็นหลัก โดยมีจิตใจใฝ่ในการทำบุญกับคนหมู่มาก หวังอานิสงผลบุญจะได้ใหญ่ขึ้นด้วยแรงแห่งการอนุโมทนาตามต่อกัน ภาพของมวลชนคนหมู่มากร่วมทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากความตั้งใจที่ร่วมกันก็ทำให้เกิดความปีติตื้นตัน ซึ่งก็ทำให้เกิดสุขได้เช่นกัน อันความสุขนี้แหละที่เป็นตัวบุญ ไอ้พิธีกรรมที่ได้มาร่วมก็ให้ถือว่าเป็นของแถม คิดอย่างสบายใจ อย่าคิดโลภว่าบาปกรรมจะหมดไป ทำสิบอย่าอยากได้อยากมีเป็นล้าน เป็นการค้ากำไรเกินควรดังคำที่ท่านพุทธทาส เคยกล่าวไว้ อันความหวังคนเรานี้ก็เป็นเรื่องปกติ หวังกับอยากมันคนละเรื่อง ความอยากนั้นมันเป็นกิเลส มันโลภ มันเป็นการขวนขวายอยากได้อยากมี พอไม่ได้ไม่มีแล้วมันก็ทุกข์ แต่ความหวังเรารู้เราสัมผัสมันอยู่ในใจ  อย่างเข้าใจว่ามันยังมีหวังอยู่ มันเปรียบเสมือนน้ำทิพย์โชลมหล่อเลี้ยงจิตใจ คือถึงมันจะยังแต่ก็จะเป็นความจริงขึ้นสักวัน แต่ตัวอยากนี้มันไม่มีเหตุผลล่ะ คืออยากมันไม่ได้ดูพื้นฐานความเป็นจริง
คนบางคนอยากได้อยากมีจนทุกวันนี้แม้แผ่นดินเกิดยังอยู่ไม่ได้ เพราะอยากจนขาดสติทำให้เกิดกิเลส ความโลภ  ซึ่งมันทำให้เป็นทุกข์ หากละกิเลสความโลภตัวนี้ได้แล้วล่ะก็ ถึงไม่ได้มีเงินเป็นแสนเป็นล้านก็ช่าง...สุขมันเกิดเลย...
ขอความสุขจงมีแด่คุณครับ
ความสุขเกิดง่ายๆ เกิดขึ้นได้จากการแบ่งปัน




วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กลอน เกิดตรงไหนดับตรงนั้น



อนิจจา พุทธองค์ ทรงตรัสไว้
อนิจจัง เกิดเจ็บตาย ไซร้ดีชั่ว
อนัตตา อย่าหลงใหล โลภเมามัว
ท้ายถ้วนทั่ว ม้วยมลาย ปลายที่เมรุ(อ่านว่าเมน)

เชื่อในกรรม ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
อธิฐาน จิตตั้งบุญ หยุดทำเวร
สัจธรรม กรรมทันตา อดีตเห็น
เผลอเพียงเล่น เป็นประมาท มารตามทัน

สิ่งที่เรา เฝ้าประสพ พบอยู่นี้
เปรียบวัวมี เกวียนเทียมล้อ อยู่ฉันนั้น
ลากตามติด ประชิดกาย หลายชาตินาน
รอยนับวัน ประสานทับ ประดับลึก

อนิจจัง พุทธองค์ ทรงตรัสว่า
อันปัญญา แลสติ ที่ตรองตรึก
ให้ละตัว ชั่วโลภหลง ตรงลากลึก
จงจิตฝึก จึงจิตพา สถาพร

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ducksick(การเป็นเป็ดป่วย)

พูดถึงเรื่องพอกะเทินผมก็เป็นคนพอกะเทินคนหนึ่ง...
น่าภูมิใจไหมนี่เป็นคนพอกะเทิน?
ก็ได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่า เรานี่ก็ดีเหมือนกันเนอะ ที่เกิดเป็นคนพอกะเทิน อะไรๆก็ทำได้หมด
รอบรู้ แต่รู้ไม่จริง รู้ไม่ลึก
ชอบศึกษาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่สนใจได้ไม่นานก็จะเบื่อ เจอสิ่งใหม่ก็จะหันไปจับ โครงการเก่าก็ถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่อย่างนั้น
เป็นความคิดที่ถูกฝุ่นแห่งความฝันเกาะคลุมอยู่จนยากที่จะเป็นจริง
เหมือนกับว่าเสาะส่ายไปแนวกว้าง ไม่ลงรายละเอียดในแนวลึก

ปราขญ์หลายท่านบอกว่า ทำ 95%แรกมาเต็มที่อย่างดี แต่หากละเลยอีก5%ที่เหลือก่อนจบ ก็เท่ากับล้มเหลว
ความสำเร็จ หากเป็นเกมส์ฟุตบอล 95%แรกคือครึ่งแรก อีก5%หลังคือครึ่งหลัง
ละเลยครึ่งหลังก็แพ้ พ่าย พัง
ถ้าวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ ผมว่าความพยายามของผมยังไม่เต็มร้อยอาจสักแค่50ก็เลิก
แววสำเร็จจึงไม่มี ลงเอยด้วยการเป็นคนพอกะเทิน

ducksick(เหี้ยและเป็ด)

เหี้ย ก็เป็นสัตว์ สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกชนิดหนึ่ง ชื่อที่สุภาพของมันคือ “ตัวเงิน ตัวทอง”
ทำให้มันดูมีค่ามีความหมายขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่เหมาะที่จะนำไปชื่นชมใครเช่นกัน...
อทิเช่น “ป๋าขา...ตั้งแต่น้องใหม่มาอยู่กับป๋าเนี่ย จะทำอะไรก็รุ่งไปหมดทุกอย่าง ป๋านี่ช่างน่ารัก น่าหยิก สมกับเป็นตัวเงินตัวทองของน้องใหม่เหลือเกิน” เรื่องราวอาจจบลงไม่สวย
ขอยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่พอกะเทินอีกอย่างหนึ่งคือ “เป็ด
เป็ดไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แต่เป็นสัตว์ปีก
มีปีกเหมือนนกแต่บินไม่ได้ไกล...ส่วนใหญ่จะเดิน
อันนี้เราไม่นับรวมนกเป็ดน้ำ เพราะอันนั้นมันเป็นเป็ดแหกคอก(แหกเล้า)เพราะไม่รู้จะเป็นนกหรือเป็ด
มีเท้าเป็นพังผืดทำให้เดินได้ไม่เร็วนัก แต่พังผืดนี้ได้ใช้เวลาพุ้ยน้ำเวลาลอยล่องอยู่ในน้ำ
เป็ดว่ายน้ำได้ครับ แต่ไม่ได้ว่ายเหมือนปลา เรียกว่าลอยบนน้ำมากกว่า
เดิน ว่าย บิน ได้หมด แต่ก็ไม่เก่งสักอย่าง
อีกอย่างนิสัยความเป็นแม่ของเป็ดก็แปลกครับ เพราะถ้าอยู่ใกล้หนองน้ำมันชอบไปใข่ในน้ำครับ...
ไปใข่ลูกตัวเองทิ้งไว้ในน้ำซะงั้น นึกไม่ออกเลยว่าลูกเป็ดจะฟักตัวเองได้อย่างไร
แถวอีสานบ้านผมจะขุดบ่อไว้เลี้ยงปลาเกือบทุกบ้าน เอาแหหว่านหวังจะได้ปลามาแกง
กลับได้ไข่เป็ดมาต้มซะงั้น
แต่ลูกเป็ดก็น่ารักนะครับ จะเดินตามกันเป็นขบวนแบบแถวตอนเรียงหนึ่ง เหมือนเคยฝึกลูกเสือมายังไงยังงั้น

ducksick(พอกะเทิน)

พอกะเทิน เป็นภาษาพื้นบ้านของภาคอีสาน
หมายความว่า ครึ่งๆกลางๆ ก้ำกึ่งแบบไม่ได้ดังใจ เป็นคำวิเศษ แต่การใช้งานจะมีความหมายแตกต่างไปแล้วแต่ว่าอยู่ในประโยคใด
ขยายความได้อีกคือ...
-เหมือนว่าจะมากแต่ก็เหมือนจะไม่มากพอ แต่จะว่าน้อยก็ไม่ใช่อีก(แตกต่างจากคำว่าพอดีครับ)
-อะไรที่มันเหมือนกับว่าจะมีอยู่ แต่ก็ไม่พอ เช่น ข้าวก็เหลืออยู่แต่ก็ไม่พออิ่ม (แต่จะไปซื้อมาเพิ่มก็กินไม่หมด) นี่ก็พอกะเทิน
-ทำเป็นอยู่แต่ก็ทำไม่เก่ง เช่น ป๋อง ดีดกีต้าได้แต่ไม่เก่งพอ(ที่สุดแล้วในวงเหล้าแต่ไม่พอที่จะขึ้นโชว์เวที) นี่ก็พอกะเทิน
-งานที่ทำไปแล้วแต่ยังทำไม่ดี เช่น ข้าวมีกลิ่นเหมือนจะบูดแต่ไม่บูด(จะทิ้งก็เสียดาย จะกินก็กล้าๆกลัวๆ) นี่ก็พอกะเทิน
หากนำไปขยายคำนาม เช่น คน จะได้คำว่า “คนพอกะเทิน” มีความหมายในทางลบ
คือ “คนที่จะทำอะไรก็เป็นไปหมดทุกอย่าง รู้อะไรก็รู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง”
หากจะเปรียบเทียบกับสุภาษิตโบราณมันจะตรงข้ามกับคำสอนที่ว่า...
“รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถอดจักเกิดผล”
หากเป็นภาษาไทยภาคกลาง ความหมายอาจใกล้ๆกับ “สะเทิ้น” นะครับ
เช่น สัตว์จำพวกสะเทิ้นบกสะเทิ้นน้ำ ประมาณนั้น แค่ใช้คนละสถานที่
ถ้าคุณไปว่าใครในภาษาอีสานว่า “บักพอกะเทิน” มันจะเป็นคำว่าที่อาจทำให้เขาฉุดคิด คือติเพื่อก่อ ส่วนใหญ่ ญาติผู้ใหญ่จะว่ากล่าวผู้น้อยลูกหลานให้ได้คิด เพื่อนหยอกล้อเล่นกัน จะไม่โกรธกัน อย่างมากแค่เคืองถ้ามันไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าคุณไปว่าใครในภาษากลางว่า “ไอ้สะเทิ้น” เขาคงจะงงๆปนขำๆ ใช่ใหมครับ
แต่ถ้าบอกไปตรงๆ ว่า “ไอ้สะเทิ้นบกสะเทิ้นน้ำ” มันก็จะเป็นความหมายโดยอ้อมของสัตว์ชนิดหนึ่ง
ที่อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก ชื่อจริงคือ “วรนุช” แล้วเขาที่คุณด่าก็จะชี้หน้าคุณแล้วกราดมือเอื้อมหมายจะชกพร้อมกล่าวว่า “นี่มึงด่ากูว่าไอ้เหี้ยเหรอ”
(ผมไม่ได้cencerตัวเองตรงคำว่าเหี้ย เพราะเดี๋ยวนี้ผมได้ยินคำนี้ในภาษาพูดทั่วไปของวัยรุ่นและเด็กๆ หรือแม้แต่ในภาพยนต์ บางทีมันก็อยู่ในรูปของคำอุทานไม่ใช่คำด่า ถึงแม้ด่าก็ด่าลอยๆไม่ได้มีกรรม แต่ว่าแต่ละครั้งที่ได้ยินก็มีอาการสะดุ้งเหมือนกัน)

เพลง เหล้าต่างสี ไมตรีไม่ต่างกัน

เพลงนี้แต่งตอนกินเหล้า...เมาๆ มึนๆ พอรู้เรื่อง
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้เรื่อง พอฟื้นตื่นขึ้นมาพอเป็นคน
ก็พร่ำกับตัวเองว่า..."ทำไปได้"

เพลงเร็ว จังหวะโจ๊ะๆ ประมาณเพลงที่เคยร้องตอนเด็กๆที่ขึ้นต้นว่า แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาณวันใหม่...
แต่นี่เป็นเวอชั่น คนเมาเอามันส์(เฉพาะคนแต่ง)
ในวงเล็บเป็น เสียงคนเมาพูด แล้วหลังจากนั้นจะเป็นแรพอีสาน

เพลง เหล้าต่างสีไมตรีไม่ต่างกัน
คำร้อง/ทำนอง เบิ้ม บางโพ
เหล่า เปิด แล้ว มา เฮามานั่งเฝ่า
นั่งริน กินเหล้า ให้หมู่เฮา รื่นรมย์
พ่อกัน ทั้งที ดีกรีคือส่วนผสม
ให้ลืมทุกข์ตรม หลังสะสมล้าจากเรื่องงาน...


เหล้า ต่าง สี มี ดีกรีทุกสิ่ง
เหล้าเสือ เหล้าสิงห์ ขาวกระทิง ม่วนกัน
ลางเนื้อ ลางยา แต่ว่าขอให้สุขสันต์
ให้เราเมามัน สีสันต์นอกกาย...(เจิ๊ด เจิ๊ด)


(เอ้ามีความทุกข์ อั่นได๋ ล่ะไห่เว่ามา เบิ่งดู่ หมู่เฮา)
อ้ายแดงเราขับแท็กซี่ โดนยึดใบขับขี่ย่อนฝ่าไฟเขียว
ชายสี่เพิ่นขายหมี่เกี๋ยว กำไรไหลหล่นย่อนฝนตกหลาย
อ้ายดำ เรากะลำบาก ยากลูกสองคน แถมกิ๊กมากมาย
ป้าเขียวเพิ่นดองเหล่าขาย(ป้าเขียวเพิ่นดองเหล่าขาย)ลูกค่าบักหลาย แต่ใซ่เงินเซ็น...
แต่ใซ่เงินเซ็น แต่ใซ่เงินเซ็น


เหล้า ต่าง สี แม้ ดีกรีต่างกัน
บ่อแบ่ง ชนชั้น ร่วมวงกัน ก็เมา
สิโศก ทุกข์มา สุรากะซ่อยบรรเทา
บ้างสุขบ้างเศร้า เคร้ากันในวงสุรา


บ่อ มี แบล็ก ที่ แพงแพงซ่างเถาะ
มิตรภาพ เป็นพอ เฮากะขอ ให้มา
เครียดงาน ทุกข์เมีย ไม่เคลียก็มาปรึกษา
ร่วมวงสุรา ให้ชีวารื่นรม


(เอ้ามีความทุกข์ อั่นได๋ ล่ะไห่เว่ามา เบิ่งดู่ หมู่เฮา)
อ้ายมากเราทุกข์กระด้อ เลาะหากระป๋องเลี้ยงท้องตั้งสี่คน
อ้ายมีเราแฮงยากจน ดิ้นรนหางาน เกิบขาดบ่อทันซื่อ
อ้ายรวยเราเย็บรองเท้า ยามแลงกะเมาเลยบ่อรวยสมชื่อ
อ้ายซาติกินเหล่าซูมื่อ(อ้ายซาติกินเหล่าซูมื่อ)เบิดเงินไปซื่อ กะเซ็นป้าเขียว...
กะเซ็นป้าเขียว กะเซ็นป้าเขียว

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ติดเหล้า...

(บันทึกเมื่อ อังคารที่ 4พ.ค.2553)



เมื่อวานเป็นวันเกิดลูกผม ก็ซื้อเค้กไปให้เขาเป่า
ไม่มีของขวัญ ไม่มีตังค์ ต้องประหยัด
หลังจากทำตัวเกเร เสเพล ขาดงาน
เงินหมดไปอย่างไร้ความหมาย
หมดความหมาย ไร้คุณค่า ในชีวิต...

ลูกถามพ่อว่า พ่อชอบกินเหล้าเหรอ? กินทำไม?

ลูกสาว5ขวบถาม ผมตอบไม่ได้
นั่นสิ กินทำไม แต่ก่อนก็ไม่เคยกิน
ตกเย็นวันนี้ก็กินอีก นอนฝันร้ายทั้งคืน
สะดุ้งตื่น ผีอำ มาหลอนกันเห็นๆเลย
ร่างกายคงต่อต้านสุรา...

แต่พอหยุดกิน ก็นอนไม่หลับอีก
เหมือนว่าร่างกายมันต้องการสุรา...

อันที่จริงมันไม่รู้ว่าต้องการอะไร ร่างกายมันปั่นป่วน

กายแม้ต่อต้าน แต่ใจยังต้องการ

สุขภาพก็แย่มากแล้ว เป็นไปทั้งระบบร่างกาย...

ติดคุกคดีเมาแล้วขับก็เพราะเหล้า
ตอนติดคุกรู้สึกดีขึ้นมาก ชีวิตมีความหวัง

ออกจากคุก ติดเหล้า ความหวังถดถอย...

...ติดคุกดีกว่าติดเหล้า...

เพราะติดเหล้า ชีวิตหดหู่ ท้อแท้
ปลีกตัวจากคนรอบข้าง
แปลกแยกจากสังคม
หลบลี้จากผู้คน
ญาติระอา

ประสบการณ์แห่งความผิดพลาดที่สั่งสม มันไม่ได้สั่งสอนคนที่ติดเหล้าจริงๆเหรอ

...ไม่เห็นโรงศพ ไม่หลั่งน้ำตา...

ติดคุกเพระเหล้า
ตกงานเพราะเหล้า
เมียทิ้งเพราะเหล้า
รถหายก็เพราะเหล้า
ค้นหาวิธีเลิกเหล้า

กินจนหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้แล้วว่า จะเลิกทำไม มันติด...จนโง่
ไม่มีอะไรทำก็ไปซื้อเหล้า เลิกงานก็กินเหล้า เป็นกิจวัตรไป...

สมองตีบตันหาทางสว่างไม่เจอ...หรือบางทีอาจไม่อยากหาทางออก

จนต้องให้วิธีที่ taxiบางคันใช้...
คือใช้สติกเกอร์แปะที่รถเตือนตัวเองด้วยคำๆว่า "ทำเพื่อลูก"

ปีหน้าลูก6ขวบ จะลองนับดูว่าผม ทำเพื่อลูกได้กี่วัน

เพลง รักกันที่ใด(ตกลงผมจะทำบล็อกอะไรกันแน่?)

ต้องนอนเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว...

บรรยากาศในโรงพยาบาลชวนให้หดหู่

กลิ่นอันไม่พึงประสงค์

ภาพผู้ป่วยที่ เจ็บปวด ซึมเศร้า...

ภาพญาติมาเฝ้าที่ อิดโรย อ่อนล้า...

ภาพผู้ช่วยและพยาบาลหงุดหงิด วุ่นวาย...

และ...ภาพของเหลวที่หลั่งไหล...
เพราะร่างกายที่อ่อนแอ สูญเสียและเสื่อมโทรม ไม่อาจห่อหุ้มและปกปิดไว้ได้อีก

บวกกับภาพความรักครั้งเก่า ที่กลายเป็นอดีตไป
ทำให้นึกถึงเพลง เพลงหนึ่งซึ่งเคยแต่งไว้...เพื่อตักเตือน(หลอก)ใจตัวเองให้ทำใจได้ง่ายขึ้น
จึงขอแบ่งปันในพึ้นที่เล็กๆแห่งนี้...

ซึ่งอันที่จริงแล้วเนื้อหาอาจไม่ควรที่จะใช้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักสักเท่าไหร่
เพราะร่างกายคนเราที่มองว่าสวยงามนี้นั้นควรเล่าในนิยามของความหลงใหล ใคร่สัมผัสเสียมากกว่า
ไม่ว่าด้วยตา หรือกาย...

แต่ก็นั่นแหละ...ผมมั่นใจไม่น้อยว่าเราต่างเคยได้ยินคำว่า"รักแรกพบ"มาแล้วทั้งนั้น...
และไม่น้อยเลยที่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้น นั่นเป็นข้อหลักฐานที่เคยมีและยังดำรงอยู่
ของเหตุผลที่ว่า ความรู้สึกรักนั้นมีความเกี่ยวข้องกันกับร่างกายคนเราไม่มากก็น้อย


เพลง รักกันที่ใด(Update29/01/2552)
คำร้อง/ทำนอง
เบิ้ม บางโพ

นั่งพินิจ พิจารณา ในกายา ชาย-หญิง
จำแนกออกมาให้รู้แจ้ง-เห็นจริง ล้วน ทุกสิ่งโสมม

ภายนอกเป็นหนัง บางครั้งลอก ปลอกออกมา จึงเห็นเป็นเนื้อ
เราต้องอาบน้ำ เช้าเย็นไม่ งั้นเหม็น เหงื่อ มีเชื้อเป็นไขสีขาว
ของเหลว ที่หยดไหลคือเลือด โดนเชือดเนื้อ ก็ไหลคลุ้งคาว
แผลชอกช้ำ ซ้ำบางที ขุ่นขาว คนเขาเรียก น้ำหนอง

Hook
(ชาย)ฉันไปรักคุณที่ใด ใครใครรักกัน เขาชอบสิ่งใด
ไม่รู้จริงจริง ตอบตัวเองไม่ได้ ฉันไปรักคุณที่ใด

อาหารน่ากิน มีกลิ่นหอม ดอมดมแล้ว จึงทานลงท้อง
ผ่านร่างกายสวย น่าสนดู น่ายล มอง ขับจากท้องกลับเหม็น
เกิดมา ดูน่ารักน่าโอ๋ เติบโตน่า ถนอมเช้า-เย็น
เพียงไม่นาน ผ่านทุกข์ยาก ลำเค็ญ กลับกลายเป็น คนชรา

(หญิง)ผมไปรักคุณที่ใด ใครใครรักกัน เขาชอบสิ่งใด
ไม่รู้จริงจริง ตอบตัวเองไม่ได้ ผมไปรักคุณที่ใด

solo

ถามตัวฉันไป แย้งใจฉัน คนมันสำ คัญที่ตรงไหน
เราหลงรักเธอ จึงหลงลืม ความจริง ไป ทำไมจึงโง่งมงาย
สัทธรรม พยายามบอกหนา กายานั้น ย่อมเสื่อมสลาย
ที่ยั่งยืน ตื่นเถอดนะ ก่อนตาย สำคัญใน การทำความดี



(หญิง)ฉันไปรักคุณที่ใด ใครใครรักกัน เขาชอบสิ่งใด
ไม่รู้จริงจริง ตอบตัวเองไม่ได้ ฉันไปรักคุณที่ใด
(ชาย)ผมไปรักคุณที่ใด ใครใครรักกัน เขาชอบสิ่งใด
ไม่รู้จริงจริง ตอบตัวเองไม่ได้ ผมไปรักคุณที่ใด
(ซ้ำ หญิง ,ชาย พร้อมกันเปลี่ยนสรรพนามตัวเองเป็นเรา)

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล(กายกับจิต ประสาทรับรู้กับความทรงจำ)

คำที่ว่า "จิตใจที่แจ่มใส ย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง" นั้น

ย่อมเป็นความจริง...แต่ก็เป็นจริงแค่เพียงส่วนหนึ่ง

ตอนพ่อผมเข้าโรงพยาบาล(คนอื่นอาจจะมองว่าพ่อป่วย แต่พ่อไม่ได้มองอย่างนั้น)

พ่อผมต้องอยู่กับที่ บนเตียงพื้นที่1.5*2.5เมตร นานหลายวัน หลายเดือน

ใช่ร่างกายอันบอบช้ำที่กักขังไว้

แต่หากเป็นการไม่อยากให้ใครลำบากใจถ้ามาเห็นพ่อดื้อขัดคำสั่งหมอ


ก่อนพ่อเข้าร.พ.แม้ชราและป่วยยังคงตามหาความฝัน
ยังซ้อนสามมอเตอร์ไซกับผมและแม่พ่อไปดูบ้านเอื้ออาทร


หลังจากนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเกือย100วัน
ก็เหมือนกับว่าตอนนี้ พ่อของผม สติ เริ่มลดน้อยถอยลง
แต่ว่าความคิดอ่าน กลับยังยืนหยัด มั่นคงเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็น ตอนเป็นหนุ่ม...
ร่างกายของคนเราเปลี่ยนแปลงไป...ทุกเมื่อ...
จากเกิด เป็นใหญ่ จากใหญ่ เป็นแก่ และตาย เป็นกฎแห่งธรรมชาติ...

แต่เมื่อเวลาแห่งวาระสุดท้ายจะมาเยือนจริงๆแล้ว คนที่เข้มแข็งที่สุดก็
อาจจะทนทำใจไม่ได้ด้วยซ้ำ

ตอนอยู่ห้องไอ ซี ยู
หลังจากออกจากห้องผ่าตัด
ผู้ป่วยจะถูกนำตัวไปสังเกตุอาการที่ห้อง ไอ ซี ยู
ซึ่งจะเป็นห้องเล็กๆ เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์
ซึ่งคนส่วนน้อยจะได้ใช้เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง...และรับผู้ป่วยได้เพียงห้องละคน

ระหว่างผมกับแม่และน้องรอเข้าเยี่ยมพ่อที่หน้าห้อง
ได้แว่วข่าวจากบุรุษพยาบาลว่าคนไข้รายหนึ่งก็พึ่งเสียชีวิตไปในห้องนี้...


เป็นเวลาดึกแล้ว...

ภายในโรงพยาบาลเงียบสงัด...

กลิ่นยากรุ่นโชยฉุนจมูก...


ได้เวลา...เราเปิดเข้าไปในห้องนั้น พยาบาลปิดไฟให้พ่อพักผ่อน
พ่อยังไม่รู้สึกตัวจนสักพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น

ยังไม่ทันจะถามพ่อก็ทักว่า...

พึ่งมากันหรือ? ญาติๆเขากลับกันไปหมดแล้วนะ
เขามาเยี่ยมพ่อกันเยอะแยะไปหมด...คนนั้นก็มา...คนนู้นก็มา...พ่อก็ไล่ไปแต่จำชื่อไม่ค่อยได้

ที่พ่อกำลังไล่ชื่อไปนั่นแหละที่ทำให้พวกผมขนลุกแล้วมองหน้ากัน
เพราะญาติที่พ่อกำลังไล่ชื่อมาแต่ละคนก็ต่างลาจากโลกนี้ไปภพภูมิอื่นกันเกือบหมด
ที่ว่าเกือบหมดนี่แหละที่ทำให้เราใจชื้นขึ้นบ้างว่าคนยังอยู่ก็มาเยี่ยมพ่อเหมือนกัน

แต่ว่า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะญาติที่อยู่ต่างจังหวัดก็ไม่มีใครมาเยี่ยมพ่อสักคน
แล้วเราก็เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าเยี่ยมเสียด้วย...
เราได้แต่บอกกับพ่อว่าพ่อคงจะฝันไปนะครับ


นี่แหละครับ...เรื่องของกายกับจิต...จะแยกออกจากกันได้ก็แสนจะยากเหลือเกินเพราะมันผูกพันกันมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดเสียอีก

เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล(กั้นไว้กันตก)

+++สุขภาพจิต+++
...คนป่วยที่ร่างกายเกิดทุกขเวทนา...
ผิวหนังภายนอกที่ปกปิดสังขารภายในอยู่
มิสามารถเก็บของเหลวภายในให้ไม่หลั่งล้นออกมาจากถุงห่อหุ้มไว้ได้

ภาพที่เห็น...

บางคนถึงกับอยากจะเบือนหน้าหนี
แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะแสดงออกมากลัวคนที่ป่วยเห็น
ว่าเรารังเกียจแล้วจะเสียใจ...ใจเสีย
กลิ่นที่ดม...
บางคนได้กลิ่นเกิดอาการผะอืดผะอมแทบจะอาเจียน
แต่มิอาจไม่ห้ามใจตัวเองไว้
เกรงใจคนป่วย ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้างต้น
.
.
.
อารมณ์ขันในโรงพยาบาลนั้น...จึงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
.
.
.
พ่อผมเป็นคนแก่ที่ป่วยคนหนึ่ง
แต่กลับยังมีอารมณ์ขัน
กำลังใจดีกว่าคนที่ไปเยี่ยมเสียอีก
คนไปเยี่ยมที่ว่าคือแม่ของผมเอง
บังเอิญเรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่...แม่ของผมก็คือภรรยาของพ่อผมนั่นเอง
.
.
.
ครั้งหนึ่ง...
ผมแวะไปเยี่ยมพ่อ ที่โรงพยาบาล หลังเลิกงาน อย่างเคย

วันนั้นผมไม่ได้มานอนเฝ้าพ่อทั้งคืน

โรงพยาบาลอนุญาติให้เฝ้าได้คืนละหนึ่งคน

แม่ต้องนอนข้างเตียงของพ่อ

แต่พ่อนอนบนเตียง แม่นอนบนพื้น

มีเสื่อผืนหมอนใบรองรับร่างกาย

แต่คงไม่เพียงพอ สำหรับแม่

เพราะแม่นอนที่โรงพยาบาลไม่ได้ ด้วยเหตุผลของแม่...นอนไม่เต็มอิ่ม

เตียงนอนคนป่วยจะมีฟังชั่นเยอะ...

กล่าวคือจะปรับเตียง ยกหัว ยกขา ก็ได้

และเตียงก็มีที่กั้น กันตก ยกขึ้นยกลงได้

...เกิดสงสัยขึ้นมา...

จึงถามพ่อว่า

"ตอนนอนพ่อยกเหล็กกันตกขึ้นหรือเปล่า?"

พ่อตอบ แกมเหน็บแนมนิดหน่อย
คุณอาจสงสัยว่า พ่อเหน็บแนมใคร...
คำตอบอยู่ในคำพูดของพ่อ


"ถ้าตอนแม่อยู่แม่ก็จะยกเหล็กกั้นขึ้น
ไม่ใช่กันไว้ว่ากลัวพ่อจะตก
แต่กั้นไว้ว่า กลัวพ่อจะหล่นลงไปทับแม่!!!"

แม่อาจเป็นคนเฝ้าไข้ได้ไม่ดีพอ

เพราะบางที คนป่วยอย่างพ่อ ต้องปลอบใจคนเยี่ยมอย่างแม่ด้วยซ้ำ!

เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล1

ตอนที่พ่อผมอยู่ที่โรงพยาบาล...
แน่นอนว่า คนที่ไปโรงพยาบาลนั้น...
ก็มีอยู่แค่สองสถานะคือ...

ทำงานอยู่ที่นั่น หรือ...
ไปใช้บริการที่นั่น...

พ่อผมอยู่ในกรณีที่สอง

กล่าวคือ...

พ่อผมเป็นโรคที่รักษาด้วยตัวเองไม่ได้

จำเป็นต้องพึ่งหมอ พึ่งโรงพยาบาล

โรงที่มีคนไปทำงานบริบาลผู้ป่วยกัน...

โรงพยาบาลอาจจะมาจากคำผสมกัน
ประมาณว่า โรง(สถานที่ที่สร้างไว้โดยเฉพาะการอย่างใดอย่างหนึ่ง)
+พยา(พยายาม)+บาล(บริบาลการรักษาเบื้องต้น)(ใช้อ้างอิงเชิงวิชาการไม่ได้)

...ถ้าไม่ได้ไปทำงานในโรงพยาบาล...

คนดีๆ เขาก็จะไม่ไปโรงพยาบาลกัน

ดีๆในที่นี้หมายความว่าสุขภาพดี

ไม่ใช่คำที่ตรงกันข้ามกับนิสัยไม่ดี

ถึงแม้กระนั้น โรคร้ายมิใช่ว่าจะเลือกเกิดแต่เฉพาะกับคนไม่ดีเท่านั้น

มันเกิดได้กับทุกๆคนไม่เลือกสถานะใดๆ

หรือแม้แต่ คนที่มาทำงานในที่นี้

แม้ก่อนมาจะสุขภาพดี

แต่อาจจะกลับทำให้สุขภาพดีๆนั้น

ลดน้อยถอยลงก็เป็นได้

หากภูมิคุ้มกันไม่ดีพอ

อย่างน้อยๆก็...เรื่องของสุขภาพจิต
blog comments powered by Disqus